กายภาพบำบัดกับการรักษาข้อสะโพกเสื่อม
ทำความรู้จักกับ ข้อสะโพกเสื่อม เรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว ว่าเป็นอย่างไร เป็นแล้วจะรักษาด้วยวิธีใด ?
ข้อสะโพกเสื่อม พอได้ยินคำนี้หลายคนอาจคิดว่าเกิดขึ้นกับคนที่อายุมากเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว โรคนี้นอกจากพบได้ในผู้สูงอายุ คนอายุน้อย ก็สามารถพบได้เช่นเดียวกัน
ข้อสะโพกเสื่อมในผู้ที่อายุไม่มาก สามารถพบได้ ดังนี้
- บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
- โรคจากกระดูกอ่อนของผิวข้อกระดูกที่ข้อสะโพก
- อุบัติเหตุที่ทำให้กระดูกหักใกล้กับข้อสะโพก จึงส่งผลให้ข้อสะโพกเสื่อมตามมา
ข้อสะโพกเสื่อมในคนอายุมาก มักพบจากความเสื่อมตามวัย และจากโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน ซึ่งโรคเหล่านี้จะมีผลทำให้กระดูกอ่อนเกิดความเสื่อมได้ง่าย ในปัจจุบันพบผู้ป่วยข้อสะโพกเสื่อมตามวัย ซึ่งสามารถพบได้ตั้งแต่อายุ 45 ปี ขึ้นไป และแน่นอนว่ายิ่งอายุเพิ่มขึ้นผนวกกับมีโรคประจำตัวก็จะมีความเสี่ยงข้อสะโพกเสื่อมเร็วขึ้น หรือในผู้หญิงที่หมดประจำเดือน ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนก็จะทำให้กระดูกเริ่มบาง ความเสื่อมก็จะมีมากขึ้นด้วย
ปวดข้อสะโพกเชื่อมโยงปวดข้อเข่า
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อสะโพก อาจจะมีอาการปวดร้าวไปที่ข้อเข่าได้ เนื่องจากมีเส้นประสาทที่เชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้นในหลายกรณีผู้ที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดข้อสะโพก แพทย์จะตรวจข้อเข่าร่วมด้วย ในทางกลับกันเมื่อปวดข้อเข่าก็อาจมีการตรวจสะโพก เพราะเคยพบผู้ป่วยมาด้วยอาการปวดข้อเข่ามาก แต่ตรวจไม่พบความผิดปกติ แต่กลับมีปัญหาที่ข้อสะโพก นั่นก็อาจเกิดจากเส้นประสาทรับความรู้สึกมีการกระจายความรู้สึกไปตามจุดต่าง ๆ และรับความรู้สึกแตกต่างกัน นอกจากนี้ ในบางรายอาจมีการตรวจกระดูกสันหลังร่วมด้วย
ดังนั้น เมื่อใดมีอาการปวดข้อเข่า ข้อสะโพก หรือกระดูกสันหลัง อย่าสรุปด้วยตนเองว่าป่วยด้วยเรื่องใด เพราะจุดที่รู้สึกปวดอาจไม่ใช่จุดบอกอาการป่วย เนื่องจากใน 3 ส่วน ที่กล่าวมานี้มีความเกี่ยวเนื่องกัน จึงต้องพบแพทย์เพื่อให้เป็นผู้ตรวจวินิจฉัย
สัญญาณเตือน
ข้อสะโพกเสื่อม จะมีอาการได้หลากหลาย ได้แก่ อาการปวดบริเวณสะโพก บ้างปวดแล้วรู้สึกร้าวไปถึงก้น ขณะเดินจะรู้สึกขัด ๆ มีอาการปวดร้าวลงที่ข้อเข่า การขยับร่างกายบริเวณข้อสะโพกทำได้ไม่ดีเช่นปกติ ไม่สามารถนั่งพับเพียบได้ นั่งขัดสมาธิแล้วเข่าไม่แนบกับพื้น เดินขึ้นบันไดต้องเหนี่ยวราวบันไดเพื่อช่วยพยุงตัวขึ้น
ดูแลตั้งแต่เริ่มต้น ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดี
ข้อสะโพกเสื่อมนั้นสามารถรักษาได้หลายวิธี และวิธีการทำกายภาพบำบัดก็คืออีกหนึ่งแนวทางการรักษาที่ตอบโจทย์ โดย กายคตา ไม่เพียงจะสามารถให้การดูแลรักษาข้อสะโพกเสื่อมด้วยการทำกายภาพบำบัดเท่านั้น แต่ยังให้การรักษาที่สามารถบำรุงดูแลข้อสะโพก และฟื้นฟูในระดับเซลล์ไปพร้อมกันอีกด้วย
หลายคนมักมีคำถามว่า รักษาด้วยกายภาพบำบัดแล้วข้อสะโพกเสื่อมจะหายได้หรือไม่
คำตอบก็คือ ต้องพิจารณาจากอาการที่มาพบแพทย์ว่าความเสื่อมข้อสะโพกนั้นมากน้อยเพียงใด แพทย์จึงสามารถระบุวิธีการรักษา และหลังการรักษาจะสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ในระดับใด เพราะหากข้อสะโพกมีความเสื่อมมาก เฉลี่ยเกิน 75 % ขึ้นไป โดยส่วนใหญ่มักต้องเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม แต่หากเป็นในระเริ่มต้น การมาทำกายภาพบำบัดกับกายคตาร่วมกับการรักษาด้วยการฟื้นฟูเซลล์ก็จะช่วยได้ หากเปรียบให้เข่าใจง่าย ๆ ก็คือถ้าเป็นน้อย ๆ มาพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มต้น การรักษากับกายคตาก็สามารถช่วยซ่อมแซมกระดูกอ่อนส่วนที่สึกหรอให้กลับมาดีขึ้นได้ เพื่อช่วยยืดระยะเวลาที่ต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัดในอนาคต หรืออาจจะไม่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเลย
แนวทางการรักษาด้วยกายภาพบำบัด
- การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Peripheral Magnetic Stimulation :PMS) มีประสิทธิภาพที่ดีในการช่วยลดอาการปวด ชา จากทั้งกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ช่วยให้เลือดไหลเวียนเลือดดีขึ้น ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเส้นประสาทที่เสียหาย
- การใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูง (High Power Laser) ช่วยรักษาอาการปวดเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ ข้อต่อ รวมไปถึงยังช่วยให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของเส้นประสาท และถึงแม้จะเป็นแสงเลเซอร์กำลังสูงที่สามารถทะลุผ่านผิวหนังและชั้นเนื้อเยื่อได้ แต่ไม่ทำให้เกิดอาการร้อนที่ผิว ไม่เป็นอันตรายกับผิวหนัง และไม่เจ็บ
- การรักษาด้วยคลื่นกระแทก (Shock Wave Therapy) เป็นวิธีที่ใช้คลื่นกระแทกเข้าไปกระตุ้นบริเวณที่มีอาการ ช่วยให้เลือดไหลเวียนในบริเวณนั้นมากขึ้น สามารถช่วยลดการอักเสบ อีกทั้งยังกระตุ้นให้ร่างกายเกิดจะกระบวนการซ่อมแซมตัวเอง
การรักษาเพิ่มติมเพื่อบำรุง ดูแล และฟื้นฟูปัญหาข้อสะโพกเสื่อมถึงระดับเซลล์
การฉีด Prolotherapy การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นของตัวเอง PRP (Platelet Rich Plasma) การฉีดสารเปปไทด์ชีวภาพ (Nucleic acid) และการใช้เซลล์ซ่อมเซลล์ พร้อมทั้งคอยให้คำแนะนำดูแลด้านโภชนาการและเสริมวิตามินในส่วนที่ขาดและมีความจำเป็น รวมถึงให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วิธีการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ สำหรับใครที่เคยชินกับการออกกำลังกายเป็นประจำ ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย และหากได้รับคำแนะนำว่าสามารถทำได้ ก็ควรทำเฉพาะท่าทางที่นักกายภาพบำบัดแนะนำ โดยสิ่งที่ขอให้ตระหนักไว้เสมอคือ หากจะออกกำลังกาย ขอให้อยู่ในขอบเขตที่ตนเองไม่เจ็บ เพราะหากทำแล้วเจ็บ ปวด นั่นก็เท่ากับเป็นการทำร้ายกระดูกอ่อน
ข้อสะโพกเสื่อม ปัญหาสุขภาพที่สามารถดูแลรักษาให้ดีขึ้นได้ ขอเพียงใส่ใจและเข้ารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีปัญหาเพียงเล็กน้อย เพราะการใส่ใจในการดูแลตนเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพย่อมเป็นสิ่งสำคัญ และอีกประการที่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือการเปิดใจที่จะรับการรักษาอย่างตั้งใจจริง เพราะการดูแลสุขภาพของคนเราก็เสมือนการลงทุน แค่ไม่ได้เน้นที่การใช้เงิน แต่เน้นที่ตัวเองในการลงมือทำเพื่อดูแลสุขภาพ แน่นอนว่าผลตอบแทนที่ได้ย่อมคุ้มค่า เพราะคงไม่มีการลงใดที่จะดีไปกว่าการลงทุนเพื่อการดูแลและรักษาสุขภาพของตัวท่านเอง
.................................